
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ปัญหา อาชญากรรมออนไลน์ ได้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการ หลอกโอนเงิน, หลอกซื้อสินค้า, หลอกจองที่พัก, หลอกลงทุน หรือแม้แต่การสร้าง แอปพลิเคชันปลอม เพื่อดูดเงินผู้เสียหาย ส่งผลให้เกิดคดีนับพัน ๆ คดีต่อปี
แต่ปัญหาที่หลายคนไม่รู้คือ เบื้องหลังคดีเหล่านี้ พนักงานสอบสวนตามโรงพัก คือกลุ่มคนที่ต้องรับภาระหนักที่สุด ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว หน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการโดยตรง เช่น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) กลับเลือกที่จะ “โยนงาน” ส่วนใหญ่กลับมาให้โรงพัก
โครงสร้างตำรวจ: โรงพักคือหน่วยเล็กที่สุด แต่ภาระมากที่สุด
เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น เรามาดูโครงสร้างของตำรวจไทยอย่างคร่าว ๆ
โรงพัก (สน./สภ.) → หน่วยเล็กที่สุด รับคดีหลากหลายรูปแบบ
กองบังคับการ → รวมโรงพักหลายแห่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาเดียว
กองบัญชาการ → รวมกองบังคับการหลายหน่วย เช่น สอท.
ฟังดูเหมือนระบบนี้จะถูกออกแบบมาอย่างเป็นลำดับขั้น แต่ในความเป็นจริง ภาระคดีจำนวนมหาศาลกลับตกอยู่กับโรงพัก ที่มีพนักงานสอบสวนจำนวนน้อยมาก
ตัวอย่างเช่น โรงพักหนึ่งมีตำรวจนับร้อยนาย แต่ ผู้ที่มีอำนาจสอบสวนจริง ๆ มีเพียง 6 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อคดีที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
คดีออนไลน์: จากภารกิจเฉพาะทาง สู่ภาระของโรงพัก
เมื่อสิบกว่าปีก่อน การตั้งกองบัญชาการไซเบอร์ (สอท.) มีวัตถุประสงค์ชัดเจน คือจัดการกับ คดีอาชญากรรมออนไลน์ โดยตรง
แต่เมื่อคดีเพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีเกณฑ์ที่สอท.กำหนดเอง เช่น
คดีหลอกซื้อสินค้า, หลอกจองที่พัก → ให้โรงพักรับผิดชอบ
คดีหลอกลงทุน → สอท.จะรับเฉพาะกรณีที่มี “แอปพลิเคชัน” ที่ใช้ชักชวน
หากไม่มีแอป → โยนให้โรงพักทำ
จนปัจจุบัน สอท.แทบไม่รับคดีเอง โดยอ้างว่าเป็นเรื่อง “รายได้พิเศษ” และอยู่ในอำนาจของโรงพัก
งานล้นมือ: โรงพักรับทุกคดี
นอกจากคดีออนไลน์แล้ว พนักงานสอบสวนในโรงพักยังต้องทำคดีทั่วไปแทบทุกประเภท เช่น
คดีจราจร ที่เกิดขึ้นรายวัน
ยาเสพติด ซึ่งมีอย่างต่อเนื่อง
อาวุธปืนและอาวุธสงคราม
หนี้, คดีหมิ่นประมาท, คดีเช็ค
และอีกนับไม่ถ้วน
ทำให้แต่ละคนต้องรับผิดชอบ แฟ้มคดีหลายร้อยคดี ไปพร้อม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เวลาและกำลังมีจำกัด
ปัญหาใหญ่: การ “อายัดบัญชี” โดยส่วนกลาง
สิ่งที่กลายเป็นประเด็นร้อนตอนนี้คือการ อายัดบัญชีธนาคาร ของผู้ต้องสงสัย ปกติแล้วพนักงานสอบสวนจะอายัดเฉพาะ บัญชีที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไป เท่านั้น แต่หลายครั้ง ศูนย์กลางหรือส่วนกลาง กลับใช้อำนาจสั่งอายัดบัญชีอื่น ๆ โดยตรง โดยที่โรงพักไม่ได้เป็นคนดำเนินการ
ผลลัพธ์คืออะไร?
เจ้าของบัญชีที่ถูกอายัดบางราย ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเลย
เมื่อเขามายืนยันความบริสุทธิ์ใจ → ส่วนกลางมักจะโยนให้ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ดำเนินการแก้ไขต่อ
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว โรงพักไม่เคยเห็นชื่อบัญชีเหล่านั้นด้วยซ้ำ
นี่คือปัญหาที่ไม่เพียงแต่สร้างภาระงานเพิ่ม แต่ยังทำให้เกิดความ ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ที่ถูกอายัดบัญชีโดยไม่เกี่ยวข้อง
ทำไมถึงแก้ปัญหาปลายเหตุ?
คำถามที่พนักงานสอบสวนหลายคนอยากถามคือ “แล้วตั้งกองบัญชาการขึ้นมาทำไม ถ้าโยนงานให้โรงพักหมด?”
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือการ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คืออายัดบัญชีเป็นรายคดี แก้ไขทีละกรณี โดยไม่แตะต้องต้นเหตุของปัญหา
สิ่งที่ควรแก้ไข “ที่ต้นเหตุ”
หากต้องการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน สิ่งที่ควรทำคือการจัดการตั้งแต่ระบบ ไม่ใช่แค่ปลายทาง
ระบบธนาคาร → ปิดช่องโหว่บัญชีม้า, ตรวจสอบเข้มงวดขึ้น
การประชาสัมพันธ์ → รณรงค์เตือนภัยออนไลน์ให้ประชาชนเข้าใจรูปแบบการโกง
การควบคุมชายแดน → สกัดกั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มักตั้งฐานในต่างประเทศ
การใช้เทคโนโลยีติดตามเส้นทางการเงิน → แทนที่จะปล่อยให้เงินไหลไปต่างประเทศก่อน แล้วค่อยตามทีหลัง
สรุป: พนักงานสอบสวนโรงพัก กำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ทุกวันนี้ พนักงานสอบสวนโรงพัก ไม่เพียงแต่ทำงานล้นมือ แต่ยังต้องรับภาระงานที่ควรเป็นของกองบัญชาการโดยตรง ปัญหาการ อายัดบัญชี โดยส่วนกลางก็ยิ่งทำให้ระบบซับซ้อนขึ้น และสร้างภาระงานที่ไม่จำเป็น
หากยังคงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่พนักงานสอบสวนจะทำงานหนักเกินกำลัง แต่ความยุติธรรมสำหรับประชาชนก็อาจไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
สิ่งที่ควรทำในวันนี้คือ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การแก้ไขเฉพาะหน้าที่ปลายทาง